วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

๑ .หากจะย้อนไปถึงที่มาของตัวเองก็ดูจะไม่ยากเพราะจะมีพ่อ แม่ ลุงๆป้าๆข้างบ้านเล่าไห้ฟังอยู่เสมอบางเรื่องจำได้รางเลือน แต่ได้รับรู้จากคนรอบข้างก็กระจ่าง....ป้าเกิดที่นายอง (เมืองกึ๋ง)พ่อเป็นคน ลายค่า แม่เมืองกึ๋ง สมัยนั้นพ่อยังเป็นทหารอยู่ แม่เล่าว่า ตอนที่แม่อุ้มท้องได้เิกิดมีการยิงกันพ่อเป็นห่วงแม่เลยพากันวิ่งหนีพวกทหาร พม่าช่วงนั้นพ่อติดตามเจ้าหล้าโหง่ยพอเจ้าหล้าโหง่ยมาอยู่ห้วยยาวมีครอบครัว ที่นั่นเจ้าหล้าโหง่ยก็ยุติบทบาทของการเป็นทหารพ่อก็เลิกไปโดยปริยายสาเหตุ หนึ่งที่พ่อยุติการเป็นทหารเพราะชั่วงนั้นป้าก็ได้ประมาณ ขวบ สองขวบ........................... ๒ .ช่วงระยะป้าอายุ สองขวบถึงแป็ดขวบ อยู่เมืองไทยแล้วคะไม่ได้มีบ้านของตัวเองสถานะเป็นคนต่างด้าวไม่มีบัตรอะไร เลยสองขวบถึงหกขวบอยู่ตามสวนคือ เฝ้าสวนคะ ตอนนั้นค่าแรงได้เป็นรายเดือน เดือนละ ๕00ถึง๖00 นี่คือราคาค่าแรงแบบครอบครัวนะคะแต่ก็ดีเพราะอยู่กินกับเขาหมด พออายุได้ห้าขวบได้มีโอกาศกลับไปเมืองกึ๋งครั้งนึงกับแม่ ตอนกลับไปไม่นานคะตอนมาเมืองไทยก็มีน้ามาอยู่ด้วย ๓ .พอกลับมาเมืองไทยรอบนี้ก็พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจมาหางานทำที่เชียงใหม่ซึ่ง เป็นการเดินทางที่ลำบากมากเพราะเราไม่มีบัตรเวลามาต้องหลบๆซ่อนๆตอนที่ไปถึง เชียงใหม่ครั้งแรกได้ไปอยู่ไกล้ๆสนามบินเสียงเครื่องบินจะดังตลอดเวลา อากาศร้อนก็ร้อนตอนนั้นอายุหกขวบป้าชอบกินมาม่ามากๆร้องๆอยากจะกินไครพูด อะไรไม่สนใจเพราะการเดินออกไปซื้อคือการเสี่ยงที่จะถูกจับแม่โมโหมากเลยไป ซื้อมาม่ามาต้มไห้กิน สาม ซองน้ำเต็มกะละมัง สะใจจริงๆแม่ถือไม้ไว้ตี ด้วยแหระคะ อิ อิ แล้วเวลาหนีตำรวจต้องหนีไปในป่าขี้ โครตเหม็นเลย^_^ ๔ .ถ้ามานึกย้อนดูรูปแบบการไช้ชีวิตช่วงนั้นแล้วคือทุกๆครอบครัวมาเพื่อที่จะ ทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะได้กลับบ้านและก็มีอีกแบบคือหนีเพื่อความอยู่รอด เพราะที่บ้าน(เมืองไต)มีการกดขี่ข่มเหงในเรื่องของพืชผล เงิน สัตว์เลี้ยง และแม้แต่ชีวิต โจรก็ชุก ชุมมากๆเวลากลับบ้าน บางคนจะเองทองใส่ในกระป๋องแป้งบ้าง ร้องเท้า หรือหัวซิ้นก็มีโชคดีก็มีเงินกลับบ้าน โชคร้ายก็เสียเงินเสียทองดีไม่ดีเสียชีวิตก็มี มาดูที่เมืองไทย สมัยนั้นป้าเด็กๆหกขวบเจ็ดขวบต้องไปกับพ่อกับแม่ ไม่ได้เรียนหนังสือไม่ว่าจะเป็นภาษาไตย/ไทย ฯคืออยู่ตามแค้ม บางครั้งต้องหวาดระแวงว่าจะมีตำรวจเข้าไหมถ้ามีต้องคอยหลบ อยู่ไกล้ๆพ่อกับแม่ เพราะบางครอบครัว ลูกรอด พ่อกับแม่ไม่รอดถูกจับไปก็มี มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีการจัดกิจกรรมประเพณีของไตจะมีก็แต่เรื่องเล่า ที่แม่และเพื่อนบ้านพูดคุยกันเพื่อบรรเทาความคิดถึงบ้าน........ ๕ .มีความโชคดีครั้งที่หนึ่งป้าได้รับการอุปการะจากคุณครูผู้มีพระคุณชื่อ ครูสุณี และ ครูจรรณ ท่านสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านแม่เตาไห ที่อำเภอสันทรายท่านมารับป้าไปอยู่ด้วย เรียนฟรี สอนฟรี เป็นครูที่ใจดีมากๆเพราะท่านไม่มีลูกป้าได้เรียนที่โรงเรียนบ้านแม่เตาไหได้ ถึง ป.๒ ก็ขอออกจากโรงเรียนเพราะตอนนั้น พ่อ แม่ น้า กลับเมืองไตกันหมดแล้วแม่ได้ไปเสียที่ว๊านล๊อก(เมืองกึ๋ง)ตอนนั้นป้าแป็ดขวบ ตอนที่รู้ข่าวคือ มีเพื่อนแม่มาบอก แต่ตอนนั้นพ่ออยู่เปียงหลวงไม่ลงไปเชียงใหม่ด้วย ความรู้สึกที่รู้แม่เสียคือช๊อกไปเลย ถึงตอนนี้ก็จำหน้าแม่ไม่ได้ ผ่านไปได้หลายเดือน พ่อก็มาเที่ยวหา ป้าก็ขอกลับไปอยู่ด้วยไม่อยากห่างพ่อและน้อง ตอนที่แม่เสียตอนนั้นน้องสาวได้แป็ดเดือน พอได้กลับมาอยู่กับครอบครัวก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง อาศัยเขาอยู่ พ่อก็ไปทำงานรับจ้างได้วันละ หกสิบบาท พ่อ ต้องหาเลี้ยงครอบครัวอีกสามชีวิต รวมทั้งน้าด้วยส่วนป้าได้ไปเรียนหนังสือที่ ป๋างก่ำก่อ(ติดชายแดน หลักแต่ง) เวลาไปเรียนต้องเดินข้ามเขาลูกนึง ขึ้นเขาลงห้วย แต่สนุกคะ แต่เรียนตรงนั้นได้อยู่แค่ ป. ๑เพราะพอปิดเทอมพม่าก็เริ่มลุกล้ำเข้ามาทำไห้ไม่ได้เรียน....จำไม่ได้แล้ว ว่าหยุดเรียนไปนานเท่าไหร่แต่พอได้มาเรียนอีกทีก็คือได้เรียนอยู่ที่วัดฟ้า เวียงอินทร์แล้ว...... ๖ .ช่วงเวลาอายุแป็ดขวบถึงสิบเอ็ดขวบเป็นช่วงที่ได้อยู่กับครอบครัวคือมีพ่อ แม่(แม่ใหม่) และน้องอีกคน แตเราก็อยู่แบบจนๆเหมือนเดิมเพราะพ่อทำงานคนเดียวแม่เลี้ยงน้อง ป้าไปโรงเรียน สมัยนั้นได้เงินไปโรงเรียนวันละสามบาทถ้าวันไหนไม่มีกับข้าวได้ห้าบาทช่วง นั้นของชีวิตถือได้ว่าขัดสนสุดๆเพราะบางครั้งเราไม่มีข้าวสารหุงต้องไปยืม เขามาหุงกินส่วนกับข้าวไม่ยาก ขอแค่มีข้าว น้ำมัน เกลือ ชูรส ขมิ้น พออยู่แล้วเพราะผักต่างๆเราก็ปลูกเองไม่ต้องซื้อแต่มันก็มีข้อเปรียบเทียบ บางครั้งเื่พื่อนบ้าน ไิด้กินหมู ไก่ หรือขนมอร่อยๆที่เราไม่เคยได้กินเราก็อยากกิน ถึงแม้ช่วงนี้ป้าจะได้อยู่กับครอบครัว และอยู่ในถิ่นไตทั้งที่น่าจะได้ซึมซับความเป็นไตของเราเองอย่างครบถ้วนแต่ วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของครอบครัวป้าก็ไม่ได้เอื้อไห้เป็นแบบ นั้น........ ๗ .สมัยนั้นแทบจะทุกๆบ้านที่นิยมกันมาทำงานที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯเพราะได้เงินดีถ้าเป็นผู้หญิงสวยๆก็จะมาทำงานอาบ อบ นวด ซึ่งก็มีหลายกลุ่ม แบบเต็มใจ แบบโดนหลอกและแบบจำเป็นสมัยนั้นสังคมชาวบ้านก็ยอมรับน้อยมากๆ หรือทำงานก่อสร้าง ร้านอาหาร คนรับไช้ฯ แน่นอนว่ามันได้เงินดีกว่าอยู่บ้านถ้าเราพูดภาษาไทยเก่งก็จะได้เงินเดือนสุ งมันเลยกลายเป็นความพยามอย่างนึงที่เห็นได้ชัดว่าพอลูกเริ่มพูดได้พ่อๆแม่ๆ คำที่ได้สอนลูกคือ สวัสดี แทนการสอนลูกว่า ใหม่สุงคา หรือสอนลูกหัดพูดไทยกันซะเสียส่วนใหญ่เพราะกลัวลูกพูดไทยไม่เก่ง เอาตัวเอง ไม่รอดถ้ามองอีกแง่หนึ่งคือผู้ใหญ่ในยุคพ่อแม่เรามีความเชื่อมันในเรื่องการ ดำเนินชีวิตที่เมืองไทยมากกว่าเมืองไตเพราะยุคนั้น ขุนส่า เป็นผู้นำ(ไม่ขอขยายความ เพราะข้อมูลไม่เพียงพอ จับความได้จาก การบอกเล่าพูดคุยกัน) ๘ .ความรู้เรื่องงานประเพณี/ของป้ามีน้อยมากๆเพราะว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่บ้าน มีโอกาสได้ร่วมงานประเพณีของไตเยอะมากๆก็จริงแต่ด้วยความเป็นเด็กไม่ค่อย สนใจ สนุกอย่างเดียว การแต่งกาย/มีแบบไหนใส่แบบนั้น จะได้ใสชุดไตสักชุดเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับป้า ไม่มีตังซื้อ การทำขนมหรือของกินไต/เช่นโถ่พู เข้าแล่ง เข้าฟืน เข้ามูนต่างๆฯและอีกเยอะแยะที่ควรจะทำเป็นควรรู้แต่ป้าไม่้รู้กินเป็นอย่าง เดียวเพราะว่าการที่จะทำขนมหรือของกินเหล่านี้ครอบครัวป้าต้องไช้เงิน แล้วมันยุ่งยากซื้อกินสิบบาท จบข่าว แต่จะมีช่วงเทศการ เข้าหย่ากุ๊ เข้ามูนห่อเหลืนห้า ฯอะไรที่เป็นช่วงทำบุญนั่นถึงจะทำถึงจะมีกิจกรรมเล็กๆของครอบครัวเพราะ ทุกๆคนต้องช่วยกัน เป็นอะไรที่สนุกด้วยแหระคะ......... ๙ .การที่เราต้องทำงานตั้งแต่เด็กไปทำงานบ้าน ในหลายๆที่ รับจ้างรายวันฯและอีกมากมายป้าไม่ได้อยู่กับครอบครัวมันส่งผลทำไห้มุมมองใน เรื่อง "คนไต" ของป้าในหลายๆเรื่อง/ประเด็น เปลี่ยนไปเยอะเพราะชีวิตที่ลำบากที่ครอบครัวเราได้ผ่านพ้นมา มันทำไห้เรามีชีวิตเพื่ออยู่ดี กินอิ่ม ไม่อดๆอยากๆ ในช่วงระยะเวลา ตั้งแต่เด็กจนถึงอายุ ๒๔ ปี ป้าแทบจะไม่รู้เรื่องความเป็นมาของไตในเชิงบวก(ไม่มีความหวัง)ส่วนใหญ่ป้าจะ ได้รับรู้ความคาดหวังที่จะหลุดพ้นจากคำว่าการเข่นฆ่าที่พม่าได้กระทำกับพี่ น้องไต จากพี่น้องของป้าเองหรือเพื่อนบ้านไกล้เคียงมากกว่า ๑o .ป้ามาทำงานที่กรุงเทพสิบปีไม่เคยไปงานปีใหม่ไต ไม่เคยไปงานเข้าพรรษา ไม่ว่าช่วงเทศการไหนไม่เคยได้เข้าร่วมหรือเวลากลับบ้านก็กลับหลังช่วงเทศการ จึงไม่ค่อยรับรู้ประเพณีของไตเลย ความคิดที่ว่าฉันอยากไปอยู่เมืองไตไม่เคยมีอยู่ในหัวของป้าเลยแต่สุดท้ายคน เราเกิดมาหนึ่งคนหนึ่งชีวิตมักจะหาคุณค่าของตัวเองว่าตัวฉันมีค่าอยู่ตรงไหน แต่กว่าเราจะหาตรงนั้นเจอถ้าจิตใจเราไม่หนักแน่น ไม่มีหลักที่มั่นคงเราก็หาคุณค่าตัวเองไม่เจอ จึงมีคำถามกับตัวเองว่า "ฉันเป็นคนไต?ไช่ไหม"แค่คำถามคำนี้คำเดียวมันเปลี่ยนมุมมองของป้าแบบพลิก แผ่นฟ้าเลยว่า...ฉันไม่ไช่ไตแค่ว่าฉันเกิดเป็นคนไตในแผ่นดินไต ของตัวเองว่า "แต่ฉันจะเป็นคนไตด้วยตนและจิตวิญญาญ" ถึงแม้มันฟังดูแล้วออกจะเวอร์ไปหน่อยแต่ป้าว่าป้ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ